อันนี้คือส่วนหลักๆ ถ้าจะเพิ่มเติมอีกสักอย่างที่ตอนนี้ก็ถือว่าได้รับควานสนใจก็คือ Software ที่นำมา playback digital file ที่ได้รับความนิยมและการยอมรับว่า เล่นออกมาแล้วเสียงดี บางท่านอ่านถึงตรงนี้บอกว่า จะบ้ากันไปใหญ่แล้วมันจะแตกต่างกันได้อย่างไร แค่ software โปรแกรมที่นำมาเล่นไฟล์เพลง เสียงจะต่างกันได้อย่างไร บอกก่อนตรงนี้เลยครับว่า software หรือ โปรแกรมที่ว่ามานี้ มีผลต่อเสียงแน่นอนครับ และมีมากๆด้วย Computer Audio VS CD Player ??? แล้วมันต่างกันไหมล่ะ คำตอบก็คือ ทั้งสองแบบนั้นก็รูปแบบของการ playback เสียงดนตรี กลับมาให้เราๆท่านได้ฟังกันเหมือนกันครับ เพียงแต่ว่าองค์ประกอบของระบบต่างหากที่แตกต่างกันออกไป ถ้ามองดีๆ จากข้อมูลข้างต้นก็จะพบว่า หน้าที่โดยรวมของทั้ง computer , software , D/A converter และไฟล์เพลงนั้น เมื่อเอามาผสมรวมกันแล้วก็เปรียบได้กับการที่เราใช้งานเครื่องเล่น CD อ่านข้อมูลจากแผ่น CD ที่บันทึกมาในระบบ Digital แล้วก็ผ่าน D/A Converter ในตัวเครื่องเล่นซีดีเอง แล้วก็แปลงสัญญาณออกมาเป็น Analog แล้วเราก็ต่อช่อง Analog out ของเครื่องเล่นซีดี ไปเข้าที่ A/V Receiver หรือไม่ก็ Integrated amp เพื่อขยายสัญญาณเสียงต่อไป เห็นไหมครับว่า มันเหมือนกัน ทั้ง 2 แบบ 2 สไตล์ เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจหลักการพื้นฐานก็ไม่ยากแล้วล่ะครับ คราวนี้ เมื่อท่านบอกว่าเครื่องเล่นซีดีเดิม เสียงไม่ดี อยากเปลี่ยนเครื่องเล่นซีดีใหม่ พอเปลี่ยนรุ่น เปลี่ยนยี่ห้อ ฟังแผ่นซีดีแผ่นเดิม พบว่า เสียงที่ได้ยินนั้นแตกต่างกัน ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้นครับ ถ้าหากว่าคุณใช้ Computer คนละรุ่น คนละแบบ หรือเปลี่ยน software ในการเล่นเพลง หรือแม้แต่เปลี่ยน DAC ในการใช้งาน Computer Audio เสียงที่ได้ยินก็ย่อมที่จะแตกต่างกันเเป็นธรรมดา มันก็เหมือนกับเราเปลี่ยนเครื่อง front-end เครื่องหนึ่งนั่นเองครับ จบในส่วนของ คำอธิบายเบื้องต้นเกี่ยวกับการเล่นไฟล์ผ่าน Computer Audio แล้วนะครับ ต่อไปก็จะเริ่มลงลึกไปในรายละเอียดต่างๆ แล้วครับว่า เราจะเล่นยังไง มีวิธีเลือกอย่างไร อะไรน่าสนใจบ้าง ตอนนี้กระแสเขาเล่นอะไรกันอยู่ ลงลึกทีละขั้นกับ Computer Audio คราวนี้ พอได้เรื่องของ Notebook มาเป็นพื้นฐานแล้ว เราก็ต้องแบ่งการเล่นออกเป็น 2 ฝ่ายครับ เนื่องจากว่า แต่ละฝ่ายก็จะมี software เจ๋งๆ ที่จะนำมาเล่นเพลงให้เสียงดีแตกต่างกันออกไป ไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมของแบ่งเลยละกันนะครับ ฝั่งของ Windows คุณก็เลือกได้ตามอัธยาศัยเลยครับ จะใช้ Toshiba , Samsung , Lenovo , Sony , HP , Dell หรือ สุดแล้วแต่จะสรรหากันมา คราวนี้ก็มีคำถามตามมาอีกสิครับ ว่าแต่ละยี่ห้อเสียงต่างกันหรือเปล่า บอกได้เลยครับ ว่าต่าง แต่ว่าอะไรจะดีกว่าอะไรนั้น ผมอาจจะตอบไม่ได้ทุกคำถาม เพราะว่าไม่สามารถ จะเอา Notebook ที่สเปกใกล้ๆกันมาลองฟังเทียบเสียงกันได้ครับ แต่ถ้าโดยส่วนตัวนั้น Toshiba กับ Sony ผมว่าใช้ได้เลยล่ะครับ คราวนี้ ในส่วนของ software ที่จะมาเล่นบน platform ของ Windows ก็มีอยู่หลายตัวครับ ที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ Foobar , J River และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ทั้งสองโปรแกรมยังมีการพัฒนาอยู่เสมอๆ ทำให้เมื่อมีการลง plug in ต่างๆ เพิ่มเติม ก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการฟังเพลงให้ดียิ่งขึ้นไปอีกครับ ฝั่งของ Mac ก็มีให้เลือกอยู่ไม่กี่แบบครับ จะเป็น Macbookair , Macbook Pro , Macmini หรือ iMac ก็ว่ากันไปครับ แต่ว่าโดยพื้นฐานหากมีการเล่นไฟล์เพลงผ่าน Harddisc ในเครื่องของแต่ละรุ่นนั้น ผมแนะนำว่า Macbookair น่าจะได้เปรียบที่สุดครับ ถ้าวัดกันในเรื่องของเสียง เนื่องด้วย Harddisc นั้นเป็นแบบ Solid ไม่ได้เป็นแบบจานหมุน เหมือนกับ Pro หรือ Mini ครับ ดังนั้น เวลาอ่านข้อมูลไฟล์เพลงและ Playback กับมาจะได้เปรียบในเรื่องของเสถียรภาพครับ และถ้าเล่นเพลงผ่าน Harddisc เทียบกัน อันนี้ฟังออกครับว่าเสียงนั้นมีความแตกต่างกัน ถ้าใครที่มี Mac อยู่แล้ว ก็สบายใจไทยแลนด์ครับ เพียงแค่ลงโปรแกรมที่เราชอบเพิ่มเติม ก็ใช้งานได้เลย ก็ช่วยเพิ่มมูลค่าให้ Mac จองคุณได้เป็นอย่างดี (เพราะว่าผมก็เป็นครับ บางที ซื้อ Mac มาแล้วใช้ไม่คุ้ม เน้นตอบเวบ ภาพสวยอย่างเดียว) ในส่วนของ Mac mini นั้นผมก็แนะนำสำหรับท่านที่ มีจอ เพื่อใช้งานร่วมด้วยอยู่แล้ว เพราะว่า Macmini นั้น จะต้องต่อกับจอ เพื่อแสดงผลอีกทีนะครับ เพราะว่าตัวเครื่องนั้นมาแต่ตัว ไม่มีจอมาให้ บางท่านบอกว่า ยุ่งยาก ก็เลยตัดสินใจซื้อเป็นแบบ Macbook ไปดีกว่าครับ ก็ว่ากันตามกำลังทรัพย์และความชอบครับคราวนี้ ในส่วนของ โปรแกรมที่จะมาใช้งานร่วมกับ Platform ของ Mac ก็มีหลายตัวเช่นกันครับ ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในปัจจุบันก็เห็นจะเป็น Amarra ซึ่งตัวโปรแกรมแระราคาสามารถเลือกดูได้ที่นี่ครับ https://sites.fastspring.com/sonicstudio/product/amr4cat นอกจากนี้ ก็ยังมีโปรแกรม Pure music และ Audirvana ครับ ซึ่งราคาก็จะลดหลั่นกันลงมา เสียงแต่ละตัวก็มีจุดเด่นด้อยต่างกันไปครับ ถ้าเน้นสดๆ กระชับๆ ก็ต้องลอง Pure Music แต่ถ้าเน้นแบบอุ่นๆ โทนหนานิดๆ ก็ต้องลอง Audirvana ครับ ส่วน Amarra นั้นโดยส่วนตัวผมว่า เสียงค่อนข้างครบเครื่องมากถึงมากที่สุดครับ 2. ไฟล์เพลง แล้วไฟล์เพลงที่เราเล่นๆกันในระบบ Computer Audio นั้นมาจากไหนกันล่ะครับ พี่น้อง ส่วนนี้ก็แบ่งง่ายเป็นสัก 2 กรณีนะครับ คือ 2.1 Digital File ที่มีรายละเอียดเท่ากับแผ่น CD คือ รายละเอียดในระดับ 16bit/44.1KHz โดยที่ไฟล์จำพวกนี้ก็จะมาจากการ rip ไฟล์เพลงจากแผ่นซีดี ลงมาเก็บไว้ในรูปแบบของ Digital file โดยการ rip นั้น ก็จะแบ่งได้เป็นอีก 2 กรณีใหญ่ๆดังนี้ครับ คือ 1. rip โดยใช้ itune 2. rip โดยใช้โปรแกรม EAC ที่รันบนวินโดว์ ซึ่งทั้งสองแบบนั้นก็มีข้อที่แตกต่างกันอยู่นิดหน่อย อันนี้ผมขออนุญาตเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ คือเริ่มต้นนั้นผมจะเน้นไปที่การ rip ด้วย itune เนื่องจากว่า สะดวกสบาย และสามารถทำ cover หรือหน้าปกของอัลบั้มได้ง่าย และเมื่อต้องการเล่นเพลงย้อนกลับไปนั้นก็จะเล่นด้วยโปรแกรม Amarra with itune และทำการควบคุมด้วยอุปกรณ์เสริม จำพวก ipad , iphone หรือ บรรดา i-? ซักอย่างหนึ่งครับ เป็นครั้งแรกที่เล่น แล้วรู้สึกว่า ......... นี่คือข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่ดีกว่าการเล่นซีดี กล่าวคือ บางวัน เพลีย เหนื่อย กลับมาเปิด Macbook แล้วก็เชื่อมต่อการควบคุม หลังจากนั้นก็เปิดเพลงที่มีอยู่เต็มไปหมดเท่าที่เราอยากฟัง หาทางนี้ผมว่าโอเคครับ รายละเอียดการ rip นั้นลองดูเพิ่มเติมจากกระทู้ที่น้าอั๋นทำไว้ให้ดูครับ ตามลิงค์นี้เลย https://www.piyanas.com/forum/index.php?topic=8858.0 ส่วนอีกแบบหนึ่งนั้น มีอีกกระแสแนะนำว่า การ rip ด้วย โปรแกรม EAC (Exact Audio Copy)นั้น จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าการ rip จาก itune ครับ ซึ่งผมเองก็ได้ทดลองทำและทดลองฟังดูแล้วครับ พบว่า จริงอย่างที่เค้าว่า เพียงแต่ว่าการใช้งานนั้น อาจจะยากกว่าทางฝั่งที่ rip ด้วย itune อยู่สักหน่อยครับ โดยไฟล์ที่ rip จาก EAC นั้นจะเป็นนามสกุล .wav ครับ ก็สามารถนำไปเล่นกับโปรแกรมเล่นเพลงอื่นได้เช่นกันครับ ตรงส่วนนี้ก็แล้วแต่ว่าท่านจะเลือกอันไหนนะครับ สุดแล้วแต่ความชอบเลยครับ ถ้าถามผม ผมก็ยังให้คะแนนทาง itune มากกว่าอยู่นิดหน่อยครับ ในเรื่องของความสะดวกสบาย และง่ายต่อการใช้งานครับ อันนี้ คือไฟล์แบบแรก ผมขออนุญาตเรียกว่า standard resolution ละกันนะครับ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ส่วนอีกแบบคือ ไฟล์ที่เรียกสั้นเรียกว่า Hi Res ๆ อะไรทำนองนี้ล่ะครับ ถ้าเอาให้เข้าใจง่ายก็คือไฟล์ที่เป็นไฟล์รายละเอียดสูง และไม่มีการบีบอัดข้อมูลลงมาเพื่อให้ write ลงในมาตรฐาน Redbook ของ CD โดยที่รายละเอียดหรือ resolution ของไฟล์จำพวกนี้ก็จะสูงกว่า โดยอาจจะอยู่ในระดับของ 24bit/96KHz , 24bit/192 KHz , 24/88.2 , 24/176 ประมาณนี้ครับ มาถึงจุดนี้คงจะหายสงสัยกันแล้วนะครับ ก่อนหน้าเคยแต่ได้ยินว่า เล่นไฟล์ 24 96 ได้ไหม เล่นแบบ 24 192 ได้หรือเปล่า มันคืออะไรน้อ ตอนนี้น่าจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้บ้างแล้วนะครับท่าน ไฟล์จำพวกนี้ ถือได้ว่าเป็นไฟล์ระดับ Studio Master ครับ รายละเอียดสูง เพราะฉะนั้น หลายๆท่านที่เป็น คอ Computer Audiophile จึงมั่นใจและยอมรับว่า นี่ล่ะคือของจริง คุณภาพแบบห้องอัดจริงๆ ว่าอย่างนั้นเถอะ แล้วไฟล์ จำพวกนี้เอามาจากไหนกันล่ะครับ ? ง่ายๆ เลยครับ เราก็ต้องเสียเงินซื้อหากันมาล่ะครับ จากไหนน่ะหรือ ก็จากเวบไซต์ที่เปิดจำหน่าย อาจจะเป็นของสังกัดที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เอง หรือจากเวบไซต์ที่เป็นสื่อกลางที่ซื้อลิขสิทธิ์เพลงมาให้เราดาวน์โหลดกันอย่างถูกกฎหมาย ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ มันก็คือการซื้อหาเพลงมาฟังนั่นล่ะครับ เพียงแต่ว่ารูปแบบของสิ่งที่คุณได้รับกลับมาจากการชำระเงินนั้น มันแตกต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นเองครับ เดิมทีจ่ายเงินสด ได้ม้วนเทปกลับมา ยุคต่อๆมาก็เปลี่ยนเป็น จ่ายเงินสด แล้วได้ แผ่นซีดี หรือ SACD กลับมา มาถึงยุค digital นี้เราก็ไม่ต้องจ่ายเงินสด เพียงแต่จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ digital file นั่งเองครับ อ่านมาถึงตรงนี้ก็จะจับสังเกตได้ว่า เห็นไหมล่ะครับ ที่ผมบอกเกริ่นมาด้านบน มันสอดคล้องกันตรงที่ว่า เราก็แค่เพียงปรับเปลี่ยนรูปแบบการหารความสุขจากการฟังดนตรีให้สอดคล้องกับยุคกับสมัย และได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้น ก็เท่านั้นเองครับ ตัวอย่างเว็บบริการดาวโหลด (เสียเงิน)
ตอนนี้ก็มีหลายเวบที่เปิดบริการให้ดาวน์โหลดแบบเสียเงินครับ ทั้ง HDtrack , Linn และ อีกหลายๆค่ายครับ เห็นไหมครับ ว่าไม่ใช่เฉพาะเราเท่านั้น ที่ต้องปรับตัวในการหาเพลงมาฟังกัน เจ้าของเพลงเองก็ต้องปรับเปลี่ยนช่องทางการจัดจำหน่ายเช่นเดียวกันครับ 3. D/A Converter เมื่อตลาดมีการปรับเปลี่ยน มาให้ความสนใจในเรื่องของ Computer Audio มากขึ้น ผู้ผลิตเครื่องเสียงยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ก็ต้องปรับตัวเช่นกันครับ จากเดิมที่อาจจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของ DAC กันมากเท่าไหร่นักส่วนหนึ่งก็เพราะ ความรุ่งเรืองของ เครื่องเล่นซีดี ที่มี D/A Converter ในตัว ทำให้นักเล่นหลายท่านไม่นิยมนำ DAC External ไปใช้งานร่วมด้วยสักเท่าไหร่ แต่มาจนถึงวันนี้ ในวันที่ DAC นั้นเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่จะขาดไม่ได้ ในการเล่นเพลงผ่าน Computer ทำให้ในปัจจุบัน หลายค่ายหันมาให้ความสนใจกับการผลิต DAC อีกครั้งหนึ่ง แต่รูปแบบในตอนนี้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยสิ่งที่สำคัญที่จะขาดไม่ได้ ก็คือ Input แบบ USB เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ Notebook นอกจากนี้ Input แบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็น Coaxial & Optical ก็ยังคงมีอยู่เช่นดันครับ ทำให้ บางครั้งบางคราวนี้ ในปัจจุบัน เวลามีคนเรียกหา DAC เค้าก็เลยจะใช้คำว่า น้องครับ มี USB DAC ไหมครับ มันก็ด้วยประการ ณ นี้ล่ะครับผม ข้อสังเกตที่หลายท่านสงสัย : แล้ว เครื่องนี้ USB มันรองรับที่เท่าไหร่กันล่ะครับ คำถามนี้เกิดขึ้นมา เนื่องจากว่า USB ในปัจจุบันนั้น มีทั้งระบบที่เรียกว่า Synchronous & Asynchronous USB ครับ เดิมที โดยทั่วไปในยุคแรกๆนั้น USB จะเป็น Adaptive mode Synchronoous ครับ กล่าวคือ ทั้งภาครับและภาคส่งนั้นจะใช้สัญญาณ Master Clock เดียวกันในการกำหนดจังหวะสัญญาณ โดยที่ผู้รับนั้น จะต้องพยายามปรับเปลี่ยนความถี่ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตัวส่ง ผมที่เกิดขึ้นก็คือ รองรับข้อมูลปริมาณไม่มากนัก และ มี Jitter เกิดขึ้นในระบบ จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นกับองค์ประกอบอื่นข้างเคียง โดยระบบนี้ จะรองรับสัญญาณสูงสุดในระดับ 16bit/48KHz จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ มีการพัฒนาระบบที่เรียกว่า Asynchronous USB โดยหลักการทำงานคือ แทนที่ทั้งภาครับและภาคส่งจะใช้สัญญาณนาฬิกาเดียวกัน ก็ให้ทางถาครับนั้นใช้สัญญาณนาฬิกาของตัวเอง และเพิ่มเติมวงจร Buffer เข้ามาก่อนจะถึงชิปประมวลผลของ DAC เพื่อดักและตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วยเสียก่อนแล้วจึงส่งไปถอดรหัสทีเดียว เพื่อให้ได้ความถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดของข้อมูล ส่งผลให้ในปัจจุบัน นั้น Asynchronous USB สามารถรองรับสัญญาณได้ในระดับ 24bit/192KHz ทำให้ trend ในปัจจุบันนั้น ต้องยอมรับครับว่า จะโน้มเอียงมาทาง Asynchronous USB เสียมากกว่า แบรนด์ใดที่ยังไม่ได้ทำ ตอนนี้ก็เริ่มทยอยเปลี่ยนแปลงกันออกมาแล้วครับ ดังนั้น หากตอนนี้ ท่านจะเล่น USB DAC ก็ต้องลองพิจารณาจุดนี้ด้วยเช่นเดียวกันครับ จับตามองกันให้ดีครับ เพราะว่า เผลอๆ ปีหน้าท่านอาจจะได้เห็น ผลิตภัณฑ์จำพวก DAC นั้นออกมาแข่งขันกันเต็มท้องตลาดเลยก็ว่าได้ครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่คิดว่ายังไงก็เป็นไปได้แน่นอน เบื้องต้น ของการเล่นเอาเท่านี้ก่อนดีไหมครับ พี่น้อง เพราะผมกลัวว่า ขืนพิมพ์มากกว่านี้ ท่านๆ จะไม่อยากอ่าน และรู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไปละ ไว้โอกาสหน้าผมมาแนะนำเพิ่มเติมอีกทีละส่วนดีกว่าครับ ทั้งสายสัญญาณ และ ชนิดของไฟล์ต่างๆ รวมถึง Network Player ที่เป็นอีกกระแสที่หลายๆท่านสนใจ สุดท้ายนี้ ฝากไว้ครับ ถ้าใครสนใจจะเล่น Computer Audio ณ เวลานี้ และมีคำถามว่า ถึงเวลาหรือยัง ผมตอบให้เลยครับว่า เล่นได้แล้วครับ ตอนนี้อะไรๆมันชัดเจนในตัวของมันเองแล้ว สังเกตง่ายๆครับ ถ้าผมขยับเมื่อไหร่ ท่านมั่นใจได้เลยว่า trend นั้นกำลังจะมา... เล่นเครื่องเสียง ให้มีความสุขนะครับ ปิยะนัส (?o?,) ************************************ 16/44.1 khz , 24/96 khz , 24/192 khz , 32/384 khz AAC AES/EBU AIFF ASIO ALAC Bandwith Bit Bit Perfect BNC Byte Clock FLAC Jitter Sample Rate Upsampling |